มาดูการวาง ระบบน้ำโรงเรือน กันเลย!!
ระบบน้ำโรงเรือน วันนี้ทางร้านเพื่อนปากช่อง จะพาเพื่อนๆ มาทำความรู้จักกับการวางระบบน้ำภายในโรงเรือนกัน ว่าในแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร การประมาณจากขนาดของโรงเรือนขนาด 4×8 เมตร โดยแยกประเภทของการวางระบบน้ำ เป็น 4 แบบ ระบบหัวพ่นหมอก ระบบมินิสปิงเกลอร์ ระบบหัวน้ำหยด ระบบเทปน้ำหยด เราไปดูกันเลยค่ะ ว่าแตกต่างกันอย่างไร ข้อดีและข้อเสีย ความเหมาะสมกับพืชแต่ละชนิดต่างกันอย่างไร
“ระบบน้ำสำหรับโรงเรือน”
การปลูกพืชในโรงเรือน
การปลูกพืชในโรงเรือน เป็นการปลูกพืชแบบระบบปิด ข้อดีของการปลูกพืชในโรงเรือน คือ การลดการใช้สารเคมีสำหรับการกำจัดโรคและแมลง สามารถควบคลุมคุณภาพการผลิตได้ และช่วยให้การบริหารจัดการน้ำได้อย่างคุ้มค่า พืชที่นิยมปลูกกันในโรงเรือน ได้แก่ มะเขือเทศ เมล่อน แตงกวาญี่ปุ่น บัตเตอร์นัท เคล และผักสลัดต่างๆ หรือพืชที่ให้ราคาผลผลิตสูง
ปัจจุบันได้มีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่ช่วยให้เกษตรกรทำงานได้ง่ายขึ้น โดยมีการนำอุปกรณ์เซนเซอร์ในการวัดค่าต่างๆ เข้ามาช่วยในการบริกหารจัดการน้ำและช่วยเพิ่มผลผลิต เช่น อุปกรณ์วัดอุณภูมิภายในโรงเรือน อุปกรณ์วัดความชื้น PH และปริมาณปุ๋ยของดิน เป็นต้น นอกจากระบบเซ็นเซอร์แล้วยังได้มีการนำเทคโนโลยี IOT หรือ อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง ได้ถูกนำเข้ามาใช้ในทางการเกษตรทำให้เกษตรกรสามารถควบคลุมการทำงานของระบบน้ำได้จากระยะไกล นอกจากนี้ยังช่วยเกษตรเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นต่อการผลิตพืชไม่ว่าสภาพอากาศ สภาพดิน ปริมาณแหล่งน้ำและปริมาณปุ๋ย ผ่านทางระบบเซนเซอร์ที่ส่งข้อมูลมาทางอินเตอร์เน็ต เพื่อช่วยให้เกษตรกรวางแผนการผลิตได้ง่ายขึ้น ในส่วนของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในระบบอัตโนมัติ ได้มีการนำพลังงานทางเลือกอย่างโซล่าเซลล์เข้ามาใช้ในการทำงานของระบบน้ำ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าของระบบน้ำอีกด้วย
พ่นหมอก ( Micro Spray )
การลดอุณหภูมิภายในโรงเรือนเพาะปลูกนี้ ใช้การพ่นหมอกละอองน้ำด้วยปริมาณที่เหมาะสม ระบบควบคุมเป็นแบบอิเล็คทรอนิกส์ใช้เซนเซอร์ตรวจวัดค่าอุณหภูมิและความชื้นอากาศในโรงเรือน และใช้โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นช่วยในการคำนวณค่าทางเทอร์โมไดนามิกส์ของอากาศ และการทำสมดุลมวลหาปริมาณน้ำที่ต้องใช้อย่างแม่นยำเพื่อสั่งงานให้ปั๊มและหัวพ่นหมอกพ่นละอองน้ำให้กับอากาศได้อย่างพอดี ร่วมกับการเปิดปิดพัดลมระบายอากาศอย่างเหมาะสม ทำให้ประหยัดน้ำและไฟฟ้าสูงกว่าระบบลดอุณหภูมิแบบแผงระเหยน้ำและระบบควบคุมสำหรับการพ่นหมอกในปัจจุบัน ซึ่งนวัตกรรมการนี้สามารถติตตั้งได้ง่ายกับโรงเรือนที่มีอยู่แล้วทุกขนาด
มินิสปริงเกลอร์ ( Mini Sprinkler )
เป็นระบบที่ใช้แรงดัน 10 – 20 เมตร และมีอัตราการไหลของหัวปล่อยน้ำ 20 – 300 ลิตร ต่อชั่วโมง ระบบนี้เหมาะกับสภาพแหล่งน้ำที่มีปริมาณน้ำจำกัด คุณภาพน้ำค่อนข้างดี รูปล่อยน้ำมีขนาดเล็ก ต้องการระบบการกรองที่ดี เพื่อไม่ให้เกิดการอุดตัน ผู้ใช้ต้องมีความละเอียดในการตรวจสอบและล้างกรองอย่างสม่ำเสมอทุกวัน แรงดันที่ต้องใช้ในระบบปานกลาง การลงทุนด้านเครื่องสูบน้ำ และค่าใช้จ่ายด้านพลังงานน้อยกว่าระบบสปริงเกลอร์
น้ำหยด ( Drip )
ระบบน้ำหยด เหมาะกับสภาพแหล่งน้ำที่มีปริมาณน้ำจำกัด คุณภาพน้ำดี รูปล่อยน้ำมีขนาดเล็กมาก ต้องการระบบการกรองที่ดี เพื่อไม่ให้เกิดการอุดตัน แรงดันที่ต้องใช้ในระบบค่อนข้างต่ำ ทำให้การลงทุนด้านเครื่องสูบน้ำ และค่าใช้จ่ายด้านพลังงานน้อยที่สุด เป็นระบบที่ใช้แรงดัน 5 – 10 เมตร และอัตราการไหลของหัวปล่อยน้ำ 2 – 8 ลิตร ต่อชั่วโมง ปล่อยน้ำจากหัวปล่อยน้ำสู่ดินโดยตรง แล้วซึมผ่านดินไปในบริเวณเขตรากพืชด้วยแรงดูดซับของดิน
ข้อดีของการทำโรงเรือน
- ควบคุมคุณภาพของพืชได้อย่างดีมาก กำหนดวันเวลาในการเก็บผลผลิต
- ป้องกันแมลงและโรคที่จะมาทำลายพืชได้อย่างดีเยี่ยม
- ไม่ต้องใช้ยา หรือสารเคมีกำจัดแมลง
- ลดค่าแรงกำจัดวัชพืช
- ดูแลทั่วถึงเพราะโรงเรือนจะเล็ก และเหมาะกับการทำงานง่าย
- ป้องกันโรคราน้ำค้าง หรือฝน ที่จะทำอันตรายกับพืช
- ปลูกพืชได้ต่อเนื่อง
- ทำให้มีรายได้ที่แน่นอน เนื่องจากผลผลิตที่ทำออกมาแน่นอน มีตลาดรองรับอย่างดี
- อายุการใช้โรงเรือน ยาวนาน
ข้อที่จะต้องพิจารณา
- ราคาในการทำโรงเรือนสูง
- ควรมีแผนการซ่อมบำรุง
- การเคลื่อนย้ายยากหน่อย
- ระยะคืนทุนช้า หากเลือกพืชที่จะมาปลูกไม่เหมาะกับความต้องการของตลาด
- โรงเรือนมีหลายแบบ
- ความหนาหลังคา ส่งผลต่อชนิดของพืช
ขอบคุณที่มาจาก : www.palangkaset.com